ติดต่อเราSiteMap

ลุยต่อ! สินเชื่อเสือติดปีก-ท็อปอัพก้อนใหม่ 2,800 ล้าน ปรับเงื่อนไขใหม่ ดึงเอสเอ็มอีเข้าถึงเพิ่ม

2025-05-30 HaiPress

กองทุนเอสเอ็มอีลุยต่อจ่อปล่อยสินเชื่อเสือติดปีก – ท็อปอัพก้อนใหม่อีก 2,800 ล้านบาท ปรับเงื่อนไขใหม่ให้เข้าถึงได้เพิ่ม ชี้ตั้งแต่ปี 60-67 ปล่อยสินเชื่อช่วยเอสเอ็มอีแล้ว 18,000 ราย วงเงิน 26,800 ล้านบาท สร้างมูลค่าเศรษฐกิจกว่า 80,000 ล้านบาท

นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานโครงการสินเชื่อและการส่งเสริมพัฒนาเอสเอ็มอีของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ประจำปี 68ว่า เดือนต.ค.นี้ กองทุนฯเตรียมเปิดตัวสินเชื่อใหม่ วงเงิน 2,800 ล้านบาท โดยอยู่ระหว่างยื่นของบประมาณปี 69 แบ่งเป็น

1.โครงการสินเชื่อเพื่อเพิ่มขีดความสามารถธุรกิจ (เสือติดปีก) ระยะ 2 วงเงิน 2,000 ล้านบาท เงื่อนไขดอกเบี้ยพิเศษคล้ายกับระยะแรก แต่จะพิจารณาเพิ่มเติมว่า ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ยังติดปัญหาอะไรที่ยังไม่สามารถเข้าถึงโครงการได้เพื่อปรับเงื่อนไขให้เข้าถึงได้มากขึ้น โดยเงื่อนไขเดิมของสินเชื่อเสือติดปีก เช่น วงเงินกู้สูงสุด 15 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 3-5% ต่อปี ผ่อนชำระนานสูงสุด 10 ปี ปลอดชำระเงินต้นสูงสุด 12 เดือน

2.โครงการสินเชื่อเติมทุนหนุนธุรกิจ หรือท็อป อัพ อีก 800 ล้านบาท เป็นการต่อยอดให้กับลูกหนี้สินเชื่อชั้นดี หรือบัญชีเกรดเอ ที่เข้าร่วมโครงการเดิม แล้วต้องการสินเชื่อเพิ่มเติมไปเพิ่มขีดความสามารถ นวัตกรรม ปรับปรุงเทคโนโลยีอุตสาหกรรม และเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ด้วยอัตราดอกเบี้ยพิเศษ

นอกจากนี้ครึ่งหลังของปี 68 เตรียมออกมาตรการพลิกฟื้นธุรกิจ เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาภาระการชำระหนี้ให้กับลูกหนี้สินเชื่อของกองทุน ให้ได้รับการยกเว้นการชำระดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 12 เดือน เพื่อเสริมสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งเป็นการลดแนวโน้มการเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) โดยตั้งแต่ปี 60 – 67 กองทุนฯ ได้อนุมัติสินเชื่อรวมกว่า 26,800 ล้านบาท ให้ผู้ประกอบการ 18,000 ราย ทำให้เกิดการลงทุน การจ้างงาน สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 80,000 ล้านบาท

ส่วนผลการดำเนินงานในปีงบประมาณ 68 กองทุนได้เปิดตัว 2 โครงการสินเชื่อใหม่ วงเงินรวม 1,900 ล้านบาท คือ โครงการสินเชื่อเพื่อเพิ่มขีดความสามารถธุรกิจ (เสือติดปีก) วงเงิน 1,200 ล้านบาท และโครงการสินเชื่อเสริมสภาพคล่องธุรกิจ (คงกระพัน) วงเงิน 700 ล้านบาท ผู้ประกอบการให้ความสนใจ และมีความต้องการด้านสินเชื่อจำนวนมาก กองทุนฯ จึงได้ขยายกรอบวงเงินโครงการสินเชื่อเพื่อเพิ่มขีดความสามารถธุรกิจ (เสือติดปีก) เพิ่มเติมอีก 400 ล้านบาท โดยได้อนุมัติสินเชื่อแล้ว จำนวนกว่า 2,200 ล้านบาท คาดว่า สินเชื่อทั้งสองโครงการนี้จะช่วยต่อทุนและเพิ่มสภาพคล่องให้เอสเอ็มอี สร้างเงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นกว่า 10,000 ล้านบาท และรักษาการจ้างงานไว้ได้มากกว่า 5,000 อัตรา

นอกจากนี้ภายในเดือนมิ.ย. นี้ กองทุนฯ เตรียมเปิดโครงการส่งเสริมและพัฒนาเอสเอ็มอี 4 โครงการ วงเงิน 20 ล้านบาท ได้แก่ โครงการเสริมแกร่งการเงิน เพิ่มทุนหนุนธุรกิจ (สุขใจ) เน้นการเข้าถึงแหล่งทุน

โครงการยกระดับธุรกิจเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน (เปิดใจ) เน้นดิจิทัล และบีซีจี ในอุตสาหกรรมศักยภาพ

โครงการพัฒนาฮาลาลไทย รับรองได้ ขายส่งออกชัวร์ (มั่นใจ) เน้นมาตรฐานฮาลาลและการขยายตลาดส่งออก

โครงการพลิกชีวิต ฟื้นธุรกิจ ปรับหนี้ให้อยู่รอด (สู้สุดใจ) ช่วยเหลือลูกหนี้กองทุนที่ประสบปัญหาหนี้สินให้ฟื้นฟูและกลับมาดำเนินธุรกิจได้ โดยผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ จะได้รับการพัฒนาศักยภาพธุรกิจจากสถาบันเครือข่ายกระทรวงอุตสาหกรรม สามารถรองรับผู้สมัครเข้าร่วมได้กว่า 400 กิจการ หรือกว่า 1,000 ราย

สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม และสมัครเข้าร่วมโครงการ ได้ที่ https://i.industry.go.th หรือศึกษารายละเอียดได้ที่ www.thaismefund.com หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ สำนักงานกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด หรือธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ทั่วประเทศ

สำหรับตัวอย่างผลสำเร็จของสถานประกอบการที่กองทุนได้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนด้านเงินทุน และการส่งเสริมพัฒนา ได้แก่

1. บริษัท บัตเตอร์ฟลาย ออร์แกนิค ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค เช่น นมโคแท้ออร์แกนิค โยเกิร์ตออร์แกนิค เครื่องดื่มน้ำนมจากพืช มีจุดเด่น เช่น ได้รับรองมาตรฐานอาหารและผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคของสหรัฐอเมริกา (USDA Organic : US Department of Agriculture) ซึ่งเป็นเจ้าแรกที่ได้รับมาตรฐานในอาเซียน ได้รับมาตรฐานฮาลาล,GHPs,HACCP ปี 68 ได้รับสินเชื่อโครงการสินเชื่อเสริมสภาพคล่องธุรกิจ (คงกระพัน) จำนวน 5 ล้านบาท เพื่อนำไปเป็นเงินทุนหมุนเวียนเสริมสภาพคล่องภายในกิจการ ได้เข้าร่วมโครงการพัฒนาธุรกิจด้วยดิจิทัลสู่การเปลี่ยนแปลงวิถีใหม่

โดยได้รับการยกระดับการบริหารจัดการและแผนการลงทุนสำหรับการขยายโรงงานเป็นระบบกึ่งอัตโนมัติและระบบคลังสินค้าเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลภายในองค์กร สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต โดยเป็นการลดระยะเวลาในการผลิตสินค้าในโรงงาน และเตรียมต่อยอดพัฒนาธุรกิจในอนาคต ในการผลิตอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ให้เข้าสู่ตลาดในระดับโลก รวมทั้งมีแผนการขยายลูกค้าใหม่ เช่น การบินไทย ธุรกิจแม่และเด็ก เป็นต้น

2. บริษัท เค การ์เด้นท์ แอนด์ เฟนซ์ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้าง เช่น รั้วสำเร็จรูปมาตรฐานยุโรป ฝาตะแกรงท้อ เหล็กเส้น มีจุดเด่น เป็นผู้ผลิตลวดเหล็กชุบสังกะสีอลูมิเนียมอัลลอยรายแรกในประเทศไทย ด้วยกรรมวิธีแบบจุ่มร้อน ประกอบธุรกิจและจำน่ายสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้าง ได้แก่ รั้วตาข่าย รั้วสำเร็จรูปมาตรฐานยุโรป ฝาตะแกรงท่อ เหล็กเส้น และกรงตับไก่ ภายใต้แบรนด์ Euro Fence

ปัจจุบันธุรกิจมีแนวโน้มเติบโตและมียอดขายเพิ่มขึ้น โดยได้มีการขยายตลาดและเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ เสาเข็มเหล็ก พัดลมระบายอากาศ พัดลมอุตสาหกรรม ซึ่งช่วยในการประหยัดพลังงาน ลดค่าไฟฟ้า มีความทนทานสูง สามารถต่อตรงกับระบบโซล่าเซลล์ได้ ปี 63 ได้รับสินเชื่อโครงการสินเชื่อ SME โตไว ไทยยั่งยืน (ปิดบัญชีแล้ว) โดยได้รับการช่วยเหลือจากกองทุน ในช่วงวิกฤตโควิด-19 เป็นการลงทุนซื้อเครื่องจักร ในวงเงิน 2.80 ล้านบาท เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต

และในปี 68 ได้รับสินเชื่อโครงการสินเชื่อเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางธุรกิจ (เสือติดปีก) วงเงิน 10 ล้านบาท เพื่อสมทบการซื้อเครื่องจักรเพิ่มเติม ช่วยให้เกิดการขยายตลาดในกลุ่มลูกค้าใหม่และเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ประกอบกับธุรกิจเริ่มมีการตอบรับที่ดีและยอดขายมีแนวโน้มเติบโตขึ้นกิจการ และเตรียมต่อยอดพัฒนาธุรกิจในอนาคต นำสินเชื่อที่ได้ไปต่อยอดธุรกิจในการผลิตมอเตอร์พัดลมอุตสาหกรรม ที่ประหยัดพลังงาน มากกว่า 30% ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ของโลก

คำปฏิเสธ

คำปฏิเสธ: บทความนี้ทำซ้ำจากสื่ออื่น ๆ วัตถุประสงค์ของการพิมพ์ซ้ำคือการถ่ายทอดข้อมูลเพิ่มเติมไม่ได้หมายความว่าเว็บไซต์นี้เห็นด้วยกับมุมมองและรับผิดชอบต่อความถูกต้องและไม่รับผิดชอบใด ๆ ตามกฎหมาย แหล่งข้อมูลทั้งหมดในเว็บไซต์นี้ได้รับการรวบรวมบนอินเทอร์เน็ตจุดประสงค์ของการแบ่งปันคือเพื่อการเรียนรู้และการอ้างอิงของทุกคนเท่านั้นหากมีการละเมิดลิขสิทธิ์หรือทรัพย์สินทางปัญญาโปรดส่งข้อความถึงเรา
©ลิขสิทธิ์2009-2020 กรุงเทพพาณิชย์รายวัน    ติดต่อเรา SiteMap